1. ใช้รหัสผ่านที่ยาวและซับซ้อน

การใช้รหัสผ่านที่ยาวและซับซ้อนช่วยเพิ่มความยากในการคาดเดาของแฮกเกอร์ รหัสผ่านควรมีอย่างน้อย 12-16 ตัวอักษร และประกอบไปด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ การใช้คำหรือตัวอักษรที่ไม่มีความหมายร่วมกัน เช่น “Gf!9zP#1R@t3” จะทำให้รหัสผ่านของคุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

.

2. หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลส่วนตัว

อย่าใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ วันเกิด หรือหมายเลขโทรศัพท์ในรหัสผ่าน เพราะแฮกเกอร์สามารถค้นหาข้อมูลเหล่านี้ได้ง่ายจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย ควรใช้คำหรือวลีที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวคุณเลย

.

3. ใช้รหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละบัญชี

การใช้รหัสผ่านเดียวกันสำหรับหลายบัญชีเป็นความเสี่ยงใหญ่ หากแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงรหัสผ่านหนึ่งได้ ก็จะสามารถเข้าถึงบัญชีอื่นๆ ของคุณได้เช่นกัน ควรใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละบัญชี และหากกลัวว่าจะจำไม่ได้ สามารถใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่านช่วยเก็บและจัดการรหัสผ่านได้

.

4. อัปเดตรหัสผ่านเป็นประจำ

การเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะเข้าถึงบัญชีของคุณ แม้ว่าจะมีรหัสผ่านที่ปลอดภัยอยู่แล้ว แต่การอัปเดตรหัสผ่านใหม่ทุกๆ 3-6 เดือนจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อย่างมาก

.

5. เปิดใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication)

การยืนยันตัวตนสองขั้นตอนเป็นอีกชั้นหนึ่งของการป้องกันที่ช่วยเสริมความปลอดภัย เมื่อคุณล็อกอิน คุณจะต้องยืนยันตัวตนผ่านวิธีอื่นอีก เช่น รหัส OTP ที่ส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณ แม้ว่าแฮกเกอร์จะได้รหัสผ่านของคุณไป แต่หากไม่มีรหัส OTP ก็จะไม่สามารถเข้าถึงบัญชีของคุณได้

การตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัยเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ วิธีที่ช่วยปกป้องคุณจากแฮกเกอร์ แต่ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ควรปฏิบัติตามเพื่อเสริมความปลอดภัย เช่น การระมัดระวังในการคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จัก การอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ และการระวังการแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ ปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้เพื่อให้คุณสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

.

—————————————————-

ไม่อยากพลาดบทความและข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตาม Be1 Digital Co.,Ltd.

สนใจร่วมงานและเติบไปด้วยกัน!! ส่ง CV & Resume

มาได้ที่ อีเมล : hr@be1digital.co.th

—————————————————-

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : ติดต่อคุณน้ำ 088-5806683